top of page

การนำหลักการคิดเชิงระบบไปใช้ในโลกธุรกิจจริง

ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะในด้านธุรกิจ เทคโนโลยี หรือสังคม การวิเคราะห์ปัญหาแบบเส้นตรง (Linear Thinking) มักไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากระบบซับซ้อนที่มีการป้อนกลับ (Feedback) และผลกระทบเชิงพลวัต (Dynamics)


การเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรในระบบ (System of System : SOS) จึงเป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์และออกแบบการเปลี่ยนแปลง


หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ระบบซับซ้อน คือ แผนภาพวงจรเหตุและผล (Causal Loop Diagram : CLD) หรือ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจว่า “อะไรเป็นสาเหตุของอะไร” และ “สิ่งต่างๆ ส่งผลต่อกันอย่างไรในระยะยาว” ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายบริบท ตั้งแต่ ธุรกิจ การผลิต การบริการ ไปจนถึงการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะและการเมือง หรือปัญหาสิ่งแวดล้อม


ระบบที่เชื่อมโยงกัน และเราจะตัดระบบบางส่วนมาศึกษา
ระบบที่เชื่อมโยงกัน และเราจะตัดระบบบางส่วนมาศึกษา

ขั้นตอนการเขียนแผนภาพวงจรเหตุและผล (Casual Loop Diagram : CLD) หรือ มีดังนี้


1. กำหนดปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา

- ระบุปัญหาหรือเป้าหมายหลักที่ต้องการวิเคราะห์ให้ชัดเจน เช่น การเติบโตของธุรกิจ ปัญหาการจัดการทรัพยากร ลดข้อร้องเรียน การปัญหาความยากจน ฯลฯ


- เขียนคำถามหรือประเด็นหลักเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น เช่น “อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อยอดขาย”


2. ระบุตัวแปรหลัก (Variables)

- ระบุปัจจัยหรือตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับปัญหา เช่น ยอดขาย, ความพึงพอใจของลูกค้า, การโฆษณา, ค่าใช้จ่าย


- เขียนตัวแปรเหล่านี้เป็นคำนามหรือวลีสั้นๆ ที่ชัดเจนและวัดผลได้


3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

- วิเคราะห์ว่าตัวแปรหนึ่งส่งผลต่ออีกตัวแปรอย่างไร ต้น → ตาม (เหตุ → ผล)


- ใช้ลูกศรเชื่อมโยงตัวแปรเพื่อแสดงความสัมพันธ์ โดยความสัมพันธ์มี 2 แบบ


1) - S / + (Positive Link) ถ้าตัวแปร A เพิ่มขึ้น ตัวแปร B ก็เพิ่มขึ้น (หรือลดลงพร้อมกัน)

เช่น ยอดขาย เพิ่มขึ้น รายได้ เพิ่มข้น

ยอดขาย ลดลง รายได้ ลดลง ไปในทางเดียวกัน จึงเป็นความสัมพันธ์แบบ + (Positive Link)


ความสัมพันธ์แบบทิศทางเดียวกัน (Positive Link)
ความสัมพันธ์แบบทิศทางเดียวกัน (Positive Link)


2) - O / - (Negative Link) ถ้าตัวแปร A เพิ่มขึ้น ตัวแปร B จะลดลง (หรือในทางกลับกัน)

เช่น เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ความต้องการจะลดลง หรือ เมื่อราคาสินค้าลดลง ความต้องการจะมากขึ้น

ไปทางในทิศทางตรงข้ามกัน แบบ - Negative Link


ความสัมพันธ์แบบทิศตรงข้ามกัน (Negative Link)
ความสัมพันธ์แบบทิศตรงข้ามกัน (Negative Link)

4. สร้างวงจร (Loops)


- ระบุวงจรป้อนกลับ (Feedback Loops) ซึ่งมี 2 ประเภท


1) Reinforcing Loop (R) วงจรที่ผลักดันให้เกิดการเติบโตหรือลดลงต่อเนื่อง เช่น การลงทุนด้านการตลาด เช่น โฆษณา ทำแบรดน์ ซึ่งนำไปสู่การโฆษณามากขึ้น ยิ่งเกิดการรับรู้ของลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่ม


จากนั้นมาเขียนความสัมพันธ์ให้เชื่อมโยงกัน

  • ถ้า ยอดขาย เพิ่มขึ้น → รายได้ เพิ่มขึ้น (+)

  • ถ้า รายได้ เพิ่มขึ้น → งบประมาณการตลาด เพิ่มขึ้น (+)

  • ถ้า งบประมาณการตลาด เพิ่มขึ้น → การรับรู้แบรนด์ เพิ่มขึ้น (+)

  • ถ้า การรับรู้แบรนด์ เพิ่มขึ้น → ยอดขาย เพิ่มขึ้น (+)


วงจรยิ่งเสริมพลังกัน ยิ่งเพิ่มขึ้น หรือ ในขณะเดียวกัน ยิ่งลด ก็ลดไปในทิศทางเดียวกัน


วงจรเสริมแรงของระบบธุรกิจ ระหว่าง ยอดขาย รายได้ การลงทุนด้านการตลาด และการรับรู้ของลูกค้า
วงจรเสริมแรงของระบบธุรกิจ ระหว่าง ยอดขาย รายได้ การลงทุนด้านการตลาด และการรับรู้ของลูกค้า

2) Balancing Loop (B) วงจรที่ควบคุมหรือรักษาสมดุล เช่น ยอดขายเพิ่มนำไปสู่สต็อกสินค้าลดลง ซึ่งทำให้การผลิตเพิ่มขึ้น


อีกตัวอย่างการใช้ CLD ในการควบคุมสินค้าคงคลังขององค์กร

แผนภาพ CLD ที่แสดงวงจรสมดุล (Balancing Loop) ในธุรกิจ โดยใช้ตัวอย่างการควบคุมสินค้าคงคลัง


คุณลักษณะสำคัญของวงจรสมดุล

มีเป้าหมาย - ระบบจะพยายามให้สินค้าคงคลังอยู่ในระดับที่กำหนด

การป้อนกลับเชิงลบ - เมื่อสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น จะลดช่องว่างกับเป้าหมาย

การแก้ไขตัวเอง - ระบบจะปรับการสั่งซื้อให้เหมาะสมกับสถานการณ์



วงจรสมดุล ของการควบคุมสินค้าคงคลัง
วงจรสมดุล ของการควบคุมสินค้าคงคลัง


5. ตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาพ

- ตรวจสอบว่าความสัมพันธ์และวงจรที่สร้างขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่ ไล่ไปทีละคู่ความสัมพันธ์ ทั้งตัวต้น ตัวตาม และเส้นเชื่อมโยง ที่เป็น + / - ด้วย


- ปรึกษากับทีมหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อยืนยันความถูกต้อง ร่วมกันว่าคิดเห็นอย่างไร


- เพิ่มตัวแปรหรือความสัมพันธ์ที่อาจขาดหายไป หรือลบส่วนที่ไม่จำเป็น เกินความจำเป็นออกไป



6. อธิบายและนำไปใช้

- เขียนคำอธิบายสั้นๆ สำหรับแต่ละวงจรเพื่ออธิบายว่ามันทำงานอย่างไร

- ใช้ CLD เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของระบบ เช่น ระบุจุดที่อาจก่อปัญหาหรือโอกาสในการปรับปรุง

- นำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์หรือแก้ปัญหา ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ - กระดาษและปากกา (สำหรับร่างมือ) - ซอฟต์แวร์ เช่น Vensim, Stella, Draw.io หรือ PowerPoint/Visio สำหรับสร้างแผนภาพดิจิทัล เคล็ดลับ - เริ่มจากวงจรเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยขยายเพิ่มความซับซ้อน - ใช้สีหรือสัญลักษณ์เพื่อแยกแยะวงจร R และ B ให้ชัดเจน - หลีกเลี่ยงการใส่ตัวแปรหรือความสัมพันธ์มากเกินไปจนแผนภาพยุ่งเหยิง


สรุปขั้นตอนการเขียน Causal Loop Diagram (CLD)

  1. กำหนดปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา

  2. ระบุตัวแปรหลัก (Variables)

  3. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

  4. สร้างวงจร (Loops)

  5. ตรวจสอบและปรับปรุงแผนภาพ

  6. อธิบายและนำไปใช้


การประยุกต์ใช้ CLD ในภาคธุรกิจ

1. ภาคการผลิต

ปัญหา: ยอดขายตกจากความล่าช้าในการส่งมอบ


ตัวแปร: เวลาผลิต, สต็อก, ความพึงพอใจลูกค้า, ยอดขาย


CLD ช่วยให้เห็นว่าการวิเคราะห์ระบบของ "การลดเวลาผลิต" เพิ่ม "ความพึงพอใจ" ส่งผลต่อ "ยอดขาย" และเพิ่ม "ภาระงานในสายการผลิต" ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพ ใช้ในการระบุจุดคอขวด (Bottleneck) และวงจรที่ควบคุม (Balancing Loops)


2. ภาคบริการ

ปัญหา: ลูกค้าไม่กลับมาใช้บริการซ้ำ


ตัวแปร: ระยะเวลารอคอย, คุณภาพบริการ, การบอกต่อ, จำนวนลูกค้า


CLD แสดงให้เห็นวงจรเสริมแรง (Reinforcing Loop) เช่น การบริการดี → ลูกค้าพึงพอใจ → รีวิวดี → ลูกค้าใหม่เพิ่ม

CLD ช่วยวางแผนพัฒนา Service Blueprint โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์แบบป้อนกลับ


3.การประยุกต์ใช้ CLD ในการเมืองและสังคม

ปัญหา: ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ


ตัวแปร: รายได้ประชากร, การเข้าถึงการศึกษา, การจ้างงาน, เสียงในการมีส่วนร่วม


วงจรเสริมแรงเชิงลบ (Negative Reinforcing): รายได้น้อย → เข้าถึงการศึกษาน้อย → โอกาสงานต่ำ → รายได้น้อย


CLD ช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายเห็นจุดที่ควรแทรกแซง (Leverage point) เช่น เพิ่มงบประมาณด้านการศึกษาหรือฝึกทักษะอาชีพ ยังสามารถใช้วิเคราะห์ผลกระทบเชิงนโยบาย เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหรือการเก็บภาษีความมั่งคั่ง


วงจรสมดุลอื่นๆ ในธุรกิจ


การควบคุมคุณภาพ: คุณภาพลดลง → ลูกค้าร้องเรียน → ปรับปรุงกระบวนการ → คุณภาพดีขึ้น


การจัดการพนักงาน: ภาระงานเพิ่ม → ความเครียดสูง → จ้างพนักงานเพิ่ม → ภาระงานลดลง


ราคาและความต้องการ: ราคาสูง → ความต้องการลดลง → แรงกดดันให้ลดราคา → ราคาลดลง


วงจรสมดุลช่วยให้ธุรกิจมีเสถียรภาพ และสามารถรักษาจุดสมดุลที่เหมาะสมได้


ดังนั้น ต้องมองให้ออกว่าระบบของเราเป็นรูปแบบ สมดุล หรือเสริมแรง แล้วเลือกค้นหาว่าจะไปงัดจุดหักเหตรงไหน

เพื่อให้ใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด แต่ได้ผลลัพธ์มากที่สุด


สายการคิดเชิงระบบ พยายามมองภาพรวมของระบบก่อนเจาะลงไปดูส่วนที่สนใจว่ามีผลกระทบกับระบบอย่างไร แล้วค้นหาจุดหักเห เพื่องัดคาดให้ระบบดีขึ้น


Comments


RECENT POSTS

FEATURED POSTS

FOLLOW US

  • Grey Facebook Icon
  • Grey Twitter Icon
  • Grey Instagram Icon
  • Grey Google+ Icon
  • Grey Pinterest Icon

ABOUT LEANxACADEMY

เราเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาเฉพาะทางด้าน
การจัดการแบบลีน การจัดการโลจิสติกส์และ
โซ่อุปทาน และการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว อาทิ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยี
ธุรกิจอาหารและยา ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจบริการ

Consultant firm with expertise in
Lean Management, Logistics and
Supply Chain Management, Business Model Development with faster success such as 
innovaiton and technology sector, food and medicine sector, automotive and electronics sector, and service sector.

 

SOCIALS NETWORK 

SUBSCRIBE 

สนใจรับข่าวสารด้านหลักสูตรฝึกอบรม ส่วนลดพิเศษกรุณาฝากอีเมล์ไว้กับทางบริษัทด้านล่างนี้

bottom of page